|

บทความวิชาการ เดือนมิถุนายน 2568

ลักษณะประจำเดือนกับโรคทางมะเร็งนรีเวช

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธา หามนตรี
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

          ประจำเดือนเป็นภาวะทางสรีวิทยาปกติของสตรีในวัยเจริญพันธุ์ แต่เมื่อสตรีมีการรับรู้ได้ว่าประจำเดือนมีความผิดปกติหรือไม่เหมือนเดิม อาจทำให้เกิดความกังวลใจว่ามีภาวะผิดปกติใดๆ รวมไปถึงก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ ดังนั้นเราควรมาทำความเข้าใจลักษณะของประจำเดือนปกติกันก่อน

           จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า สตรีไทยเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกเฉลี่ยที่อายุ 11.5 ปี(1) ส่วนค่าเฉลี่ยอายุของวัยหมดประจำเดือนของสตรีไทยอยู่ที่ 49.5 ปี(2) อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ในแต่ละบุคคล โดยการมีประจำเดือนนั้นเกิดจากการสร้างฮอร์โมนจากไข่ ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธ์ของสตรีที่มีการเจริญเติบโตและตกไข่ในแต่ละรอบเดือน โดยฮอร์โมนที่สำคัญที่มีการสร้างขึ้นได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมกับการฝังตัวของตัวอ่อน แต่เมื่อในรอบการตกไข่นั้นไม่มีการปฏิสนธิและการฝังตัวของตัวอ่อน เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะสลายตัวออกมาเป็นเลือดประจำเดือน ก่อนเข้าสู่รอบถัดไปของการเจริญเติบโตของไข่   

            ลักษณะประจำเดือนปกตินั้น ระยะห่างระหว่างรอบประจำเดือนแต่ละรอบอยู่ระหว่าง 21 ถึง 35 วัน เฉลี่ย ประมาณ 28-30 วัน โดยนับจากความห่างของวันแรกของรอบประจำเดือนที่อยู่ติดกัน และจำนวนวันของการมีประจำเดือนแต่ละรอบคือ 2 ถึง 6 วัน และปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออกในแต่ละรอบเดือนประมาณ 20 ถึง 60 มิลลิลิตร(3) แต่ในทางปฏิบัติเราจะวัดปริมาณเลือดประจำเดือนในแต่ละรอบได้ยาก 

ลักษณะของประจำเดือนอาจมีความเปลี่ยนแปลงได้จากการใช้ยาคุมกำเนิด โดยลักษณะประจำเดือนที่อาจเป็นได้ มีดังนี้

  • การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดที่มีใช้เป็นแบบฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) ที่มีปริมาณฮอร์โมนคงที่ มักมีจำหน่ายในรูป 21 หรือ 28 เม็ดต่อแผง ลักษณะประจำเดือนจะถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนสม่ำเสมอตามรอบยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ในบางกรณีอาจทำให้ไม่มีประจำเดือนทั้งๆที่ทานยาคุมกำเนิดได้

  • การใช้ยาฉีดคุมกำเนิด ที่มีใช้ในประเทศไทยเป็นฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสเตอโรน ฉีดทุก 3 เดือน หลังการฉีดจะทำให้รูปแบบการมีประจำเดือนเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น การมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ทั้งที่ปริมาณน้อยหรือ ปริมาณมากก็ได้ รวมถึงการไม่มีประจำเดือนเลยเมื่อใช้ไปได้สักระยะ

  • ยาฝังคุมกำเนิด ที่มีใช้ในปัจจุบันเป็นฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสเตอโรน อาจเป็นชนิด 1 แท่งหรือ 2 แท่ง ระยะการคุมกำเนิด 3 หรือ 5 ปี แล้วแต่ชนิดยา หลังการใช้อาจทำให้ลักษณะประจำเดือนเปลี่ยนแปลงได้หลายแบบ เช่น  ปริมาณประจำเดือนลดลงหรือมากขึ้น โดยช่วงห่างคงที่ ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย รวมถึงการไม่มีประจำเดือน

  • แผ่นแปะคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดโดยการมีแผ่นยาฮอร์โมนแปะที่ผิวหนัง เพื่อให้ฮอร์โมนทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนดูดซึมเข้าทางผิวหนัง โดย 1 กล่องจะมีแผ่นแปะ 3 แผ่น แปะสัปดาห์ละ 1 แผ่น ติดต่อกัน 3  สัปดาห์ แล้วหยุดแปะ 1 สัปดาห์ ก่อนใช้ในรอบถัดไป ลักษณะประจำเดือนที่พบได้หลังใช้ มักมาตามรอบการใช้ยาในช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่หยุดแปะยา

  • ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นวิธีการคุมกำเนิดโดยใช้ยารับประทาน มักใช้กรณีที่จำเป็นจริงๆ เช่น กรณีวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้อยู่ล้มเหลวหรือใช้ไม่ถูกวิธี เช่น ถุงยางอนามัยแตก หลังใช้ยามักทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย

          ดังนั้น เมื่อประจำเดือนผิดปกติหรือเปลี่ยนแปลงจนก่อให้เกิดความกังวล ในขณะที่ใช้ยาหรือวิธีการคุมกำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษา  

          สำหรับภาวะประจำเดือนผิดปกติที่ไม่สามารถอธิบายได้ มักก่อให้เกิดความกังวลว่าจะมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น จนถึงกลัวว่าจะเป็นสัญญานของการเป็นมะเร็งหรือไม่ เราจึงควรทราบลักษณะประจำเดือนที่อาจมีความสัมพันธ์กับโรคทางมะเร็งนรีเวชชนิดต่าง ๆ ดังนี้

  1. มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งช่องคลอด(4) มักแสดงอาการโดยการมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ  ในระยะแรกที่รอยโรคยังมีชนาดเล็กอาการที่สังเกตได้คือการมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่เมื่อมีการดำเนินโรคมากขึ้น รอยโรคใหญ่ขึ้น ก็อาจมีตกขาวปนเลือดจนเห็นเป็นสีน้ำตาล หรือมีเลือดสังเกตได้ชัดเจน กะปริบกะปรอยในปริมาณที่มากบ้างน้อยบ้างได้ อาจพบร่วมกับการมีตกขาวมีกลิ่นเหม็นได้

  2. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก อาการที่แสดงได้แก่ การมีตกขาวปนเลือด หรือมีเลือดประจำเดือนออกผิดปกติกะปริบกะปรอยในช่วงวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือในช่วงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว(5) โดยปริมาณเลือดที่ออกอาจจะน้อยหรือมากได้ รวมถึงสตรีที่ยังอยู่ในวัยเจริญพันธ์กลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น กลุ่มที่มีน้ำหนักตัวเกิน กลุ่มที่มีภาวะไข่ไม่ตก หรือกลุ่มที่มีประวัติมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในครอบครัว

  3. มะเร็งรังไข่(6) มักไม่แสดงอาการโดยการมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ แต่อาจมีส่วนน้อยมากที่อาจเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติในโรคมะเร็งรังไข่ที่ผลิตฮอร์โมน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้แม้ในวัยเด็ก ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์

  4. มะเร็งเนื้อรก(6,7) อาการที่อาจมีได้ ได้แก่ การมีเลือดออกผิดปกติที่ไม่สามารถอธิบายได้หลังการคลอดบุตรหรือการแท้ง

  5. มะเร็งปากช่องคลอด หรือมะเร็งอวัยวะเพศภายนอกสตรี(8) อาจแสดงอาการโดยการสังเกตว่ามีเลือดออกที่ไม่สัมพันธ์กับรอบเดือน ร่วมกับการพบมีรอยโรคที่มีอาการคัน มีเลือดออกหรือก้อนที่โตขึ้นบริเวณอวัยวะเพศภายนอก หรือขาหนีบ

        อย่างไรก็ดี สาเหตุของการมีเลือดหรือประจำเดือนผิดปกติ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากมะเร็ง แต่
ควรเข้ารับการปรึกษาและการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติ โดยข้อมูลที่ควรมีการเตรียมไปเพื่อให้แก่แพทย์เพื่อประกอบการวินิจฉัยได้แก่ 

  •  ลักษณะรอบประเดือนปกติ ช่วงห่างของรอบประจำเดือน มาทุกกี่วัน มารอบละกี่วัน ลักษณะเลือดประจำเดือน ปริมาณการใช้ผ้าอนามัย อายุที่เริ่มมีประจำเดือน อายุที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย

  • ลักษณะประจำเดือนในรอบล่าสุด และรอบก่อนหน้าที่มีการบันทึก ว่าเริ่มมาวันที่เท่าไหร่ มารอบละกี่วัน มีลักษณะผิดปกติไปจากเดิมย่างไร มีตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกกะปริบกระปรอยระหว่างรอบหรือไม่

  • ประวัติการใช้ยาหรือวิธีการคุมกำเนิด ประวัติการแท้ง การคลอดบุตร

เอกสารอ้างอิง

  1. ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ, ธนินี สหกิจรุ่งเรือง, คมศักดิ์ ศรีลัญฉกร, อัครนัย ขวัญอยู่. โครงการศึกษาสถานการณ์ การเป็นสาวก่อนวัยของเด็กไทย ( A study of the female precocious puberty in Thailand) วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2562

  2. Chompootweep S, Tankeyoon M, Yamarat K, Poomsuwan P, Dusitsin N. The menopausal age and climacteric complaints in Thai women in Bangkok. Maturitas 1993;17: 63-71.

  3. Vollman RF. The menstrual cycle. In : Friedman E, ed. Major Problems in Obstetrics and Gynecology. Philadelphia, PA: Saunders, 1977: 1-193.

  4. Mwaka AD, Okello ES, Wabinga H, Walter  Symptomatic presentation with cervical cancer in Uganda: a qualitative study assessing the pathways to diagnosis in a low-income country. BMC Womens Health 2015; 15: 15.

  5. Amant F, Moerman P, Neven P, Timmerman D, Limbergen EV, Vergote Endometrial cancer. Lancet 2005; 366:491-505.

  6. Adams T, Denny L. Abnormal vaginal bleeding in women with gynaecological malignancies. Best Pract Res Clin Obstet Gynaecol 2017; 40:134-47.

  7. Berkowitz RS, Horowitz NS, Goldstein DP. Gestational trophoblastic disease. In: Berek JS, Berek D, editors. Berek&Novak’s Gynecology. 16th Wolters Kluwer; 2020. p. 1170-85.

  8. Merlo S, Modern Treatment of Vulvar Cancer. Radiol Oncol 2020;54(4):371-6.

 

 

Similar Posts