บทความวิชาการ เดือนสิงหาคม 2568
การตรวจหาเชื้อเอชพีวี (HPV) จากปัสสาวะ
รศ.นพ.ชำนาญ เกียรติพีรกุล
ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เชื้อฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (Human Papillomavirus) หรือเชื้อเอชพีวี (HPV) สามารถติดเชื้อในหลายส่วน เช่น ปาก ลำคอ และอวัยวะเพศ คนส่วนใหญ่ที่มีเพศสัมพันธ์แล้วมักจะเคยได้รับเชื้อเอชพีวีมาก่อน แต่ส่วนใหญ่จะหายไปเอง เชื้อเอชพีวีความเสี่ยงสูง (high-risk HPV) อาจทำให้เซลล์ปากมดลูกผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ (1)
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
วิธีการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาตรฐานในปัจจุบันคือ การตรวจเซลล์ปากมดลูกหรือการตรวจหาเชื้อเอชพีวีความเสี่ยงสูงจากสิ่งคัดหลั่งในช่องคลอด โดยการตรวจเซลล์ปากมดลูกจะต้องมีการตรวจภายในและเก็บเซลล์ปากมดลูกโดยบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนการตรวจหาเชื้อเอชพีวีความเสี่ยงสูง อาจจะเก็บสิ่งคัดหลั่งในช่องคลอดจากการตรวจภายในโดยบุคลากรทางการแพทย์หรือเก็บสิ่งคัดหลั่งโดยสอดใส่อุปกรณ์เก็บด้วยตนเอง
การตรวจหาเชื้อเอชพีวีจากปัสสาวะคืออะไร?
การตรวจเชื้อเอชพีวีจากปัสสาวะคือ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการเก็บปัสสาวะส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเชื้อเอชพีวีความเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นชนิดที่มีอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก(2)
ความแม่นยำของการตรวจหาเชื้อเอชพีวีจากปัสสาวะ
การตรวจหาเชื้อเอชพีวีความเสี่ยงสูงจากปัสสาวะมีความแม่นยำเกือบเท่ากับการตรวจหาจากตัวอย่างที่เก็บจากปากมดลูกหรือสิ่งคัดหลั่งในช่องคลอด(2-5) แม้ว่าในปัจจุบันอาจยังไม่สามารถทดแทนการคัดกรองมาตรฐานได้อย่างสมบูรณ์ แต่เป็นอีกทางเลือกสำหรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่หลีกเลี่ยงการตรวจด้วยวิธีมาตรฐานซึ่งต้องมีการตรวจภายในหรือมีการใส่อุปกรณ์เข้าไปในช่องคลอด ผู้หญิงอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือมีปัญหาในการหาเวลาไปตรวจ(2)
ขั้นตอนการเก็บปัสสาวะเพื่อตรวจหาเชื้อเอชพีวี
จะต้องเก็บตัวอย่างปัสสาวะประมาณ 10-50 ซีซี ในภาชนะที่จัดเตรียมให้ โดยเก็บตั้งแต่น้ำปัสสาวะส่วนต้นที่ออกมา ควรกลั้นปัสสาวะอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนทำการเก็บและหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อนทำการเก็บปัสสาวะ(2,4,6) ตัวอย่างปัสสาวะที่เก็บได้จะถูกส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการต่อไป
การปฏิบัติตัวหลังพบเชื้อเอชพีวีในปัสสาวะ
ผู้ที่พบการติดเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูง จะต้องเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเซลล์ปากมดลูก หรือการส่องกล้องกำลังขยายทางช่องคลอด (colposcopy) เพื่อตรวจดูปากมดลูกและผนังช่องคลอดอย่างละเอียดต่อไป
อย่างไรก็ดี การตรวจหาเชื้อเอชพีวีจากปัสสาวะอาจยังไม่มีให้บริการในทุกสถานบริการ จึงต้องสอบถามสถานบริการที่จะเข้ารับบริการก่อน นอกจากนี้ ผู้หญิงบางรายอาจยังจำเป็นต้องใช้วิธีการคัดกรองแบบมาตรฐานขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ที่ดูแล
สรุป
การตรวจหาเชื้อเอชพีวีจากปัสสาวะเป็นวิธีที่ตรวจที่ง่ายและรุกล้ำน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีมาตรฐานอื่น อีกทั้งยังมีความแม่นยำเกือบเท่ากับการตรวจจากตัวอย่างที่เก็บจากปากมดลูกหรือสิ่งคัดหลั่งในช่องคลอด วิธีการนี้อาจจะเป็นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
เอกสารอ้างอิง
-
Thobias AR, Patel M, Vaghela C, Patel PS. Attributes of HPV associated cancers. Clin Transl Oncol 2025. doi: 10.1007/s12094-025-03959-1.
-
Cheng L, Wang R, Yan J. A review of urinary HPV testing for cervical cancer management and HPV vaccine surveillance: rationale, strategies, and limitations. Eur J Clin Microbiol Infect Dis 2024;43:2247-58. doi: 10.1007/s10096-024-04963-z.
-
Khunamornpong S, Settakorn J, Sukpan K, Lekawanvijit S, Katruang N, Siriaunkgul S. Comparison of Human Papillomavirus Detection in Urine and Cervical Samples Using High-Risk HPV DNA Testing in Northern Thailand. Obstet Gynecol Int 2016;2016:6801491. doi: 10.1155/2016/6801491.
-
Tranberg M, Van Keer S, Jensen JS, Nørgaard P, Gustafson LW, Hammer A, et al. A. High-risk human papillomavirus testing in first-void urine as a novel and non-invasive cervical cancer screening modality-a Danish diagnostic test accuracy study. BMC Med 2025;23:327. doi: 10.1186/s12916-025-04149-0.
-
Li DM, Liu QY, Xue SL, Zeng X, Qie MR, Lian R. Accuracy analysis of cervical cancer screening using urine and vaginal self-sampling versus clinician-collected samples: A systematic review and meta-analysis. Int J Gynaecol Obstet 2025. doi: 10.1002/ijgo.70207.
-
Davies JC, Sargent A, Pinggera E, Carter S, Gilham C, Sasieni P, et al. Urine high-risk human papillomavirus testing as an alternative to routine cervical screening: A comparative diagnostic accuracy study of two urine collection devices using a randomised study design trial. BJOG 2024;131:1456-64. doi: 10.1111/1471-0528.17831.